

ฉะเชิงเทราเป็นเมืองใกล้กรุงที่น่าเอ็นดู สะพรั่งด้วยวัดและสมบูรณ์ด้วยอาหารการกิน ที่สำคัญคือมีวัฒนธรรมการกินแบบพื้นถิ่นที่มีเอกลักษณ์แสนจะน่ารัก ดูอย่างขนมกุยช่ายเจ๊อิมที่ขึ้นชื่อของเกาะขนุน ตอนที่ฉันกินครั้งแรก อูยยย...ตัวเดียวนุ่มลิ้นลื่นลงคออย่างง่ายดาย รสชาติติดปากตายจากไม่เสียดาย หนึ่งกล่องที่เขาแพ็คขายมี 10 ตัว ขายในราคา 20 บาท มีไส้กุยช่าย ไส้เผือก และไส้หน่อไม้ อร่อยทุกไส้ทุกรส ดูภาพเอาเองนะคะว่าชวนตามติดไปลิ้มชิมรสกันขนาดไหน เอาเป็นว่า หากวันใดคุณอยากออกทริปไปเที่ยวฉะเชิงเทรา ก็ให้ยึดทางหลวงหมายเลข 314 แล้วเกาะถนนหมายเลข 304 ไว้ ฉันอาศัยเส้นทางมอเตอร์เวย์ค่ะ สะดวกดี พอเห็นป้ายฉะเชิงเทราก็เลี้ยวเข้าไปเลย พอถึงสามแยกที่มีป้ายบอกทางเยอะแยะ ถ้าตรงไปคือเข้าตัวเมืองฉะเชิงเทรา แต่เราไม่เข้านะคะ เราจะไปอำเภอพนมสารคามค่ะ จับตาดูคำว่า พนมสารคาม ไว้อย่าให้คลาดสายตา และอย่าได้ถามถึงระยะห่างใกล้ไกล เพราะคนขับไม่ได้จับระยะกิโลไว้ ฉันอาศัยเขานั่งมาด้วยเลยต้องเจียมตัว ไม่โน่นนี่นั่นมากนัก เดี๋ยวเขาจะหย่อนเราลงก่อนได้กินของอรอ่ย
เอาเป็นว่าฉันออกจากบ้าน 9 โมงเช้า ไปถึงโน่นเกือบ 10 โมง ขับช้าๆ สโลว์ไลฟ์สโลว์ทริป ไม่รู้จะรีบร้อนให้หัวใจเต้นอึกทึกไปทำไม สี่แยกแรกที่ถึงคือ สี่แยกคอมเพล็กซ์ ชื่อเดิ้นเป็นฝรั่งเพราะว่ามีห้างเพล็กซ์ๆ อะไรนี่แหละตั้งอยู่ตรงหัวมุมแยกพอดี แยกนี้เราไม่แวะค่ะ ให้พุ่งตรงต่อไปถึง สี่แยกหน้าซึ่งจะเป็นสี่แยกบางคล้า แยกนี้เราไม่วอกแวกอีก ให้พุ่งตรงไป แยกหน้าที่หมายมั่นคือแยกไปอำเภอพนมสารคาม แยกนี้ให้สังเกตโลตัสและตึกที่มีหอไอเฟลอยู่ฝั่งขวามือ ถ้าเลี้ยวซ้ายก็เข้าเมืองไปกินก๋วยเตี๋ยวปากหม้อ เมืองพนมสารคาม ถ้าเลี้ยวขวาจะได้กินกุยช่ายชื่อดังของตำบลเกาะขนุน ฉันสะกิดคนขับออกคำสั่งเสียงโหยว่าไปซื้อกุยช่ายกลับบ้านก่อนดีกว่า โทรไปที่เบอร์ 038-551-722 / 087-1403693 สั่งเขาไว้ล่วงหน้าแล้ว ไปถึงก็โฉบรับของกินลัลล้าสบายใจ
ทางไปร้านกุยช่ายเจ๊อิมนั้นไม่ยากค่ะ เลี้ยวขวาตรงสี่แยกที่มีหอไอเฟลเข้าไปประมาณ 4-5 กิโลได้ สังเกตว่าทางถนนจะเป็นสี่เลน พอแล่นๆ ไปลดยวบเหลือสองเลนก็ให้ชะลอรถได้แล้ว จะมีป้ายร้านกุยช่ายเล็กๆ บอกเป็นระยะๆ ให้สังเกตซอยเทศบาล 1 ด้านขวาเป็นซอยเล็กๆ อีกเช่นกัน อย่าได้จินตนาการอะไรใหญ่โต คนเขาอยู่กันแบบพอเพียงพอดีก็สร้างอาหารรสชาติอร่อยติดปากได้ พอเข้าซอยไปปุ๊บก็วิ่งเหยาะๆ ไปสุดซอย บ้านหลังซ้ายมือคือถิ่นกำเนิดกุยช่ายเจ๊อิมดังในรูป เขาตื่นกันตั้งแต่ตีสามตีสี่มานวดแป้งสอดไส้แล้วนึ่งพร้อมจัดลงใส่กล่องให้คนรับประทาน
ส่วนคุณอ้อน-ภรรยาก็จัดแจงควัก เอ๊ย..จัดวางไส้ปากหม้อที่มีหลากหลาย พร้อมวางตั้ง วัฒนธรรมการกินก๋วยเตี๋ยวปากหม้ออันเป็นเอกลักษณ์พื้นถิ่นของเมืองนี้ก็เริ่มขึ้นในไม่ช้าไม่นาน บอกแล้วไงคะว่าไม่รีบ

เรากินทีละตัวๆๆๆ คิดดูสิคะ การนั่งล้อมวงกินก๋วยเตี๋ยวปากหม้อที่มีคนทำนั่งเด่นเป็นนางเอกตรงกลาง คอยจดจำไส้ปากหม้อที่คนสั่งแล้วค่อยๆ ปาดลงชามนู้นทีชามนี้นี้ ช่างเป็นวัฒนธรรมการกินที่น่ารักอย่าบอกใคร ฉันเคยเห็นเมืองกรุงเอาวัฒนธรรมการกินนี้มาเปิดกิจการทำมาค้าขาย แป๊บเดียว เอ๊า..หายวับไปแล้ว เลยคิดเองออเองว่า วัฒนธรรมละเมียดปากหม้อที่หย่อนลงในชามก๋วยเตี๋ยวคงไม่ถูกจริตคนกรุงในเมืองหลวงที่ใช้ชีวิตเร่งด่วน ในเมื่อซ้ายหันขวาหันมีตัวเลือกในเรื่องอาหารการกินตั้งเยอะ ช้าๆ ปาดปากหม้อลงชาม คงไม่ได้เงินงามๆ มาครองชีพแบบรวยเร็วในพริบตาได้ ดังนั้นก็เลิกดีกว่า


จบจากการปาดปากหม้อช้าๆ ขากลับเราก็ปาดไปกินขนมโก๋อ่อนรสกลมกล่อมที่ ตั้งเซ่งจั้ว ระหว่างทางขากลับ ก็ทำให้ Slow Trip ครั้งนี้ก็สมบูรณ์ เพราะได้อิ่มทั้ง Slow Food และสุขในการใช้ชีวิตแบบ Slow Life ที่เราได้หย่อนตัวหย่อนใจให้ละเมียดกับสิ่งที่เราสัมผัสอยู่ข้างหน้า ณ ขณะนั้น
ขอบคุณแรงสนับสนุนจากครูเจี๊ยบ - สุธีรา จำลองศุภลักษณ์ มอบภาพงามๆ มาให้แปะนะคะ ส่วนภาพมัวๆ สู้เขาไม่ได้ คือฝีมือฉันเอง