วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สโมสรสุขภาพ Slow Life


เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วมันก็ผ่านไปด้วยความโล่งใจ หลังจากไปออกรายการทีวีสโมสรสุขภาพ slow life มาเรียบร้อยแล้วค่ะ เมื่อวันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน 2553

การไปออกทีวีมิใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเราต้องไปอยู่หน้าจอ ไปแสดงตัว ไปแสดงคำพูดคำจาให้กับผู้ชมผู้ฟังหน้าจอโทรทัศน์ ทำให้นึกห่วงว่าเราจะให้สาระประโยชน์อะไรได้บ้างกับผู้ชม สุดท้ายอีกภารกิจหนึ่งของชีวิตก็ผ่านพ้นไป การทำงานกับคนหมู่มาก เพื่อนำเสนอความคิดความอ่านของตัวเองออกสู่สายตาสาธารณชนเป็นเรื่องที่ต้องคิดเยอะค่ะ เช่นเดียวกับการเขียนหนังสือ กว่าจะผลิตเป็นพ็อกเก็ตบุ๊คออกมาแต่ละเล่ม โอย..บางทีนั่งเป็นวันกลั่นเป็นคำเขียนได้ไม่ถึง 20 บรรทัด หมดวันล้มตัวลงนอน หลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราว หมดแรงหมดพลังเพราะรีดงานจากสมองหนักหน่วงเหลือเกิน สิ่งที่จะเขียน จะพูด จะทำ ไม่ว่าจะแสดงออกทางสื่อที่ใดก็ตาม สิ่งนั้นก็จะตามตัวเราเป็นเงา เป็นนายเราไปตลอดชีวิต ดังนั้นการเก็บสะสมประสบการณ์ชีวิต เพิ่มพูนบทเรียนที่ควรรู้ เสริมสร้างความรู้รอบให้กับตัวเองในแต่ละวัน จึงเป็นเรื่องสำคัญค่ะ เขาบอกว่า ชีวิตรายวันของเรา จะมีค่ามากขึ้น ถ้าเรารู้จักเพิ่มค่าให้กับมัน
ก่อนที่จะมาพบสูตรความสุข ด้วยการใช้ชีวิต Slow Life เบรคตัวจากชีวิตเร่งด่วนที่เคยทำงานออฟฟิศ มาทำงานที่เป็นนายของตัวเอง ฉันก็คิดว่าตัวเองเป็นคนรู้รอบ ชอบอ่าน ชอบฟัง ติดตามข่าวสาร ค้นคว้าข้อมูลไม่ขาด เพิ่งมารู้ตัวว่าคิดผิดก็ตอนที่ออกจากงานแล้วมานั่งสร้างงานอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องพบเจอผู้คน ไม่ต้องประสานงากับปัญหาร้อยแปด เมื่อชีวิตไม่ยุ่ง สมาธิก็เกิด สติก็มา ปัญญาก็ตาม เพราะการอ่าน เขียน ติดตาม ค้นคว้า เอาสาระจากสื่อต่างๆ มันมีความละเมียดละไมมากขึ้น ข้อมูลที่อ่านที่ดู ถูกสติกำหนดให้รู้แจ้ง กลายเป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่รู้ผิวเผินดิ่งไปตามกระแสอย่างที่เขาโปรยหัวไว้ หากไม่เข้าใจก็ค้นให้ลึกอีก หรือไม่ก็ร้องถามจากผู้รู้ เก็บตกสัมภาษณ์เอาจากผู้มากประสบการณ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ฉันรู้จริงมากขึ้น ทีนี้เวลาจะลุกขึ้นมาคิดอ่านทำอะไร เมื่อข้อมูลมันมีอยู่เพียบพร้อม บวกกับสติของตัวเองที่มีอยู่เต็มรอบ ผลผลิตที่เกิดจึงไม่พร่อง



ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ อยากได้คะแนนดีต้องทำการบ้านค่ะ เวลาในแต่ละวันแป๊บๆ เดี๋ยวก็หมดไป ไหนจะต้องจัดเวลาทำงาน เวลากิน เวลาพักผ่อน เวลาคลายใจ เวลาให้เพื่อน เวลาให้ครอบครัว โอย...สารพัด เห็นมั้ยคะว่าเวลาไม่ได้มีไว้ให้ฆ่าทิ้ง แต่มีไว้ให้เราเพิ่มพูนปัญญา แล้วปัญญาจะเกิดจากไหน มันก็ต้องลากไปที่เหตุเหมือนที่บอกไว้ข้างต้น ทำสติให้เกิด ลากสมาธิให้มา ทำใจให้จดจ่อกับสิ่งที่ทำ ไม่เอาอารมณ์นำทางชีวิต ไม่ปรุงแต่งจิตให้ฟุ้งซ่าน เหล่านี้คือสิ่งที่จะทำให้ชีวิตเรา slow down ลงได้
หลายคนถามว่า Slow LIfe ทำได้จริงหรือ ไม่ทำงานแล้วจะหาเลี้ยงชีวิตได้อย่างไร แล้วภาระที่หนักอึ้งล่ะ จะละ จะวาง จะจัดการยังไง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ... อยากจะบอกว่าทุกอย่างล้วนต้องทำการบ้าน และให้เวลากับผลผลิตที่จะตกผลึกออกมา ตั้งโจทย์ชีวิตของตัวเองให้เจอ แล้วคิดวิเคราะห์ให้ดี ทำการบ้านให้หนัก สุดท้ายเราก็จะตอบโจทย์ที่ตัวเองตั้งได้ ระหว่างทางที่กำลังทำการบ้านเพื่อตอบโจทย์ อาจต้องเปลี่ยนแปลงความคิด เปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต และการเปลี่ยนแปลงก็ต้องอาศัยเวลา .. การคิดใหม่ทำใหม่ ลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนชีวิตตัวเอง สิ่งดังกล่าวนี้ คุณพร้อมที่จะเผชิญกับมันหรือเปล่า ความวิตกกังวล คิดกลัวกับการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ปรุงแต่งจิตให้ทุกข์หนัก คิดฟุ้งไปเรื่อย คืออุปสรรคที่จะทำให้ชีวิตอยู่ในโหมดโลว์สปีดได้ ค่อยๆ ไล่ความฟุ้งออกจากความคิดกันนะคะ เอาธรรมะมาเป็นเครื่องมือในการนำทางชีวิต แค่ลุกขึ้นมาหายใจเข้าออกยาวๆ แค่นี้ก็สามารถนำสมาธิให้ก่อเกิดกับตัวได้แล้ว และหากทำมากกว่านั้นล่ะ ทำเพิ่มขึ้นอีกล่ะ สติไม่เกิดกับตัวก็ให้มันรู้ไป
อย่ากลัวกับการเปลี่ยนแปลงค่ะ ชีวิต Slow Life คือชีวิตที่ทำใจให้สงบนิ่ง และจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราคิดเราทำ หากอยากได้ชีวิตที่ดีกว่าเดิม ก็ต้องปรับวินัยให้กับตัวเองเพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น บอกแล้วค่ะว่าไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ โดยไม่คิดอ่าน ไม่เตรียมการ และไม่ทำการบ้าน

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ก๋วยเตี๋ยวปากหม้อ กุยช่าย และโบสถ์เก่า


รสชาติอาหารทีติดปาก ถึงขั้นตายจากก็ยากจะลืมนั้น ทำให้ฉันวกกลับมาเที่ยวที่เมืองพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา อีกครั้ง น้องนุ่งที่ชวนออกทริปด้วยให้โจทย์ว่า "ไปทำบุญกันนะพี่" พอเราให้โพยเขาไปว่าต้องแวะสเตชั่นไหนบ้าง เขาย้อนถามเรามาในทันใดว่า "ทัวร์อร่อยหรือทัวร์ทำบุญกันละเนี่ย"
ฉะเชิงเทราเป็นเมืองใกล้กรุงที่น่าเอ็นดู สะพรั่งด้วยวัดและสมบูรณ์ด้วยอาหารการกิน ที่สำคัญคือมีวัฒนธรรมการกินแบบพื้นถิ่นที่มีเอกลักษณ์แสนจะน่ารัก ดูอย่างขนมกุยช่ายเจ๊อิมที่ขึ้นชื่อของเกาะขนุน ตอนที่ฉันกินครั้งแรก อูยยย...ตัวเดียวนุ่มลิ้นลื่นลงคออย่างง่ายดาย รสชาติติดปากตายจากไม่เสียดาย หนึ่งกล่องที่เขาแพ็คขายมี 10 ตัว ขายในราคา 20 บาท มีไส้กุยช่าย ไส้เผือก และไส้หน่อไม้ อร่อยทุกไส้ทุกรส ดูภาพเอาเองนะคะว่าชวนตามติดไปลิ้มชิมรสกันขนาดไหน เอาเป็นว่า หากวันใดคุณอยากออกทริปไปเที่ยวฉะเชิงเทรา ก็ให้ยึดทางหลวงหมายเลข 314 แล้วเกาะถนนหมายเลข 304 ไว้ ฉันอาศัยเส้นทางมอเตอร์เวย์ค่ะ สะดวกดี พอเห็นป้ายฉะเชิงเทราก็เลี้ยวเข้าไปเลย พอถึงสามแยกที่มีป้ายบอกทางเยอะแยะ ถ้าตรงไปคือเข้าตัวเมืองฉะเชิงเทรา แต่เราไม่เข้านะคะ เราจะไปอำเภอพนมสารคามค่ะ จับตาดูคำว่า พนมสารคาม ไว้อย่าให้คลาดสายตา และอย่าได้ถามถึงระยะห่างใกล้ไกล เพราะคนขับไม่ได้จับระยะกิโลไว้ ฉันอาศัยเขานั่งมาด้วยเลยต้องเจียมตัว ไม่โน่นนี่นั่นมากนัก เดี๋ยวเขาจะหย่อนเราลงก่อนได้กินของอรอ่ย
เอาเป็นว่าฉันออกจากบ้าน 9 โมงเช้า ไปถึงโน่นเกือบ 10 โมง ขับช้าๆ สโลว์ไลฟ์สโลว์ทริป ไม่รู้จะรีบร้อนให้หัวใจเต้นอึกทึกไปทำไม สี่แยกแรกที่ถึงคือ สี่แยกคอมเพล็กซ์ ชื่อเดิ้นเป็นฝรั่งเพราะว่ามีห้างเพล็กซ์ๆ อะไรนี่แหละตั้งอยู่ตรงหัวมุมแยกพอดี แยกนี้เราไม่แวะค่ะ ให้พุ่งตรงต่อไปถึง สี่แยกหน้าซึ่งจะเป็นสี่แยกบางคล้า แยกนี้เราไม่วอกแวกอีก ให้พุ่งตรงไป แยกหน้าที่หมายมั่นคือแยกไปอำเภอพนมสารคาม แยกนี้ให้สังเกตโลตัสและตึกที่มีหอไอเฟลอยู่ฝั่งขวามือ ถ้าเลี้ยวซ้ายก็เข้าเมืองไปกินก๋วยเตี๋ยวปากหม้อ เมืองพนมสารคาม ถ้าเลี้ยวขวาจะได้กินกุยช่ายชื่อดังของตำบลเกาะขนุน ฉันสะกิดคนขับออกคำสั่งเสียงโหยว่าไปซื้อกุยช่ายกลับบ้านก่อนดีกว่า โทรไปที่เบอร์ 038-551-722 / 087-1403693 สั่งเขาไว้ล่วงหน้าแล้ว ไปถึงก็โฉบรับของกินลัลล้าสบายใจ




ทางไปร้านกุยช่ายเจ๊อิมนั้นไม่ยากค่ะ เลี้ยวขวาตรงสี่แยกที่มีหอไอเฟลเข้าไปประมาณ 4-5 กิโลได้ สังเกตว่าทางถนนจะเป็นสี่เลน พอแล่นๆ ไปลดยวบเหลือสองเลนก็ให้ชะลอรถได้แล้ว จะมีป้ายร้านกุยช่ายเล็กๆ บอกเป็นระยะๆ ให้สังเกตซอยเทศบาล 1 ด้านขวาเป็นซอยเล็กๆ อีกเช่นกัน อย่าได้จินตนาการอะไรใหญ่โต คนเขาอยู่กันแบบพอเพียงพอดีก็สร้างอาหารรสชาติอร่อยติดปากได้ พอเข้าซอยไปปุ๊บก็วิ่งเหยาะๆ ไปสุดซอย บ้านหลังซ้ายมือคือถิ่นกำเนิดกุยช่ายเจ๊อิมดังในรูป เขาตื่นกันตั้งแต่ตีสามตีสี่มานวดแป้งสอดไส้แล้วนึ่งพร้อมจัดลงใส่กล่องให้คนรับประทาน



ได้กุยช่ายมาครองแล้วออกรถได้ ให้เลี้ยวซ้ายเพื่อไปหาซอยออกถนนหลักได้เลยค่ะ จากนั้นก็ตรงดิ่งผ่านสี่แยกเก่าเพื่อมุ่งหน้าไปกินก๋วยเตี๋ยวปากหม้อกันต่อ ร้านที่ฉันปักหลักไปกินประจำอยู่เลยเซเว่นฯ ทางซ้ายมือไปหน่อย สังเกตป้ายทางขวามือ ตรงซอยสุขาภิบาล 4 มีก๋วยเตี๋ยวปากหม้ออร่อยท้าพิสูจน์รอฉันอยู่ตรงนั้น ฉันชอบอุดหนุนก๋วยเตี๋ยวปากหม้อร้านคุณพัฒน์ เพราะชอบอัธยาศัยคู่สามีภรรยาคนทำ ยังหนุ่มสาวกันอยู่เลยนะคะ ตอนไปถึงสิบโมงนิดหน่อย เขาเพิ่งจะตั้งร้านกัน เราก็ยินดีนั่งรอเขาตั้งหม้อน้ำซุปก๋วยเตี๋ยว
ส่วนคุณอ้อน-ภรรยาก็จัดแจงควัก เอ๊ย..จัดวางไส้ปากหม้อที่มีหลากหลาย พร้อมวางตั้ง วัฒนธรรมการกินก๋วยเตี๋ยวปากหม้ออันเป็นเอกลักษณ์พื้นถิ่นของเมืองนี้ก็เริ่มขึ้นในไม่ช้าไม่นาน บอกแล้วไงคะว่าไม่รีบ

ฉันเคยถามจากคุณอ้อนว่า ก๋วยเตี๋ยวปากหม้อมีความเป็นมายังไง เธอก็เล่าว่าเกิดมาก็เห็นแล้ว ปากหม้อหรือก๋วยเตี๋ยวไม่รู้ว่าอะไรเกิดก่อนกัน แต่การหย่อนปากหม้อปาดสดๆ จากหม้อลงชามก๋วยเตี๋ยว คนกินคนทำมีส่วนร่วมในการกิน คนทำหย่อนปากหม้อลงชามที่มีน้ำซุป ในหม้อน้ำซุปมีตีนไก่ ซี่โครงหมู เลือดหมู ลูกชิ้น จะกินไรก็ออเดอร์เขาไป พอได้น้ำซุปที่มีของเคียงดังกล่าวที่พึงใจ ทีนี้ก็หันไปสั่งคนทำปากหม้อว่าต้องการไส้อะไรบ้าง เดี๋ยวเขาก็จะจดจำไส้ต่างๆ ค่อยๆ ปาดแป้งสุดจากปากหม้อพร้อมไส้มาหย่อนลงชามให้
เรากินทีละตัวๆๆๆ คิดดูสิคะ การนั่งล้อมวงกินก๋วยเตี๋ยวปากหม้อที่มีคนทำนั่งเด่นเป็นนางเอกตรงกลาง คอยจดจำไส้ปากหม้อที่คนสั่งแล้วค่อยๆ ปาดลงชามนู้นทีชามนี้นี้ ช่างเป็นวัฒนธรรมการกินที่น่ารักอย่าบอกใคร ฉันเคยเห็นเมืองกรุงเอาวัฒนธรรมการกินนี้มาเปิดกิจการทำมาค้าขาย แป๊บเดียว เอ๊า..หายวับไปแล้ว เลยคิดเองออเองว่า วัฒนธรรมละเมียดปากหม้อที่หย่อนลงในชามก๋วยเตี๋ยวคงไม่ถูกจริตคนกรุงในเมืองหลวงที่ใช้ชีวิตเร่งด่วน ในเมื่อซ้ายหันขวาหันมีตัวเลือกในเรื่องอาหารการกินตั้งเยอะ ช้าๆ ปาดปากหม้อลงชาม คงไม่ได้เงินงามๆ มาครองชีพแบบรวยเร็วในพริบตาได้ ดังนั้นก็เลิกดีกว่า

อิ่มท้องแล้วก็ไปเดินย่อยกันที่ตลาดน้ำบางคล้ากันต่อนะคะ ขับรถตรงไปเลย ไม่ต้องวกกลับทางเดิม พุ่งตรงไปเรื่อยๆ ชมวิวนาข้าวเขียวครึ้มสักแป๊บก็จะถึงตลาดน้ำบางคล้า เดินเล่นเพลินใจปุ๊บแป๊บเสร็จก็ถึงเวลาทำบุญกันซะที วัดที่จับยามสามตาเสี่ยงไปกันเป็นวัดที่สงบเงียบ รื่นรมย์ในวิถีของวัดพัฒนา วัดเสม็ด อยู่ตรงสี่แยกบางคล้า บนถนนสายหลัก หาไม่ยากค่ะ เส้นทางถนนขาไปทำให้เราคุ้นดีอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวหลง เราเจอวัดนี้ขากลับเข้ากรุง พอเจอสี่แยกบางคล้าปั๊บก็เลี้ยวซ้าย เข้าไปอีกนิดก็ถึงแล้ว ไปกราบไหว้พระสิวลี และเดินเข้าไปชมโบสถ์ร้อยกว่าปี ความอิ่มท้องที่ได้ยังไม่เท่ากับอิ่มทิพย์จากความร่มเย็นในรั้วธรรม ใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยมาประคับประคองดูแลโบสถ์ล้ำค่าแห่งนี้กันด้วยนะคะ อย่าให้สูญหาย วัฒนธรรมอันเป็นมรดกตก ทอดที่สวยงาม ควรอยู่อย่างจีรังยั่งยืนคู่บ้านคู่เมืองนี้สืบไปค่ะ





จบจากการปาดปากหม้อช้าๆ ขากลับเราก็ปาดไปกินขนมโก๋อ่อนรสกลมกล่อมที่ ตั้งเซ่งจั้ว ระหว่างทางขากลับ ก็ทำให้ Slow Trip ครั้งนี้ก็สมบูรณ์ เพราะได้อิ่มทั้ง Slow Food และสุขในการใช้ชีวิตแบบ Slow Life ที่เราได้หย่อนตัวหย่อนใจให้ละเมียดกับสิ่งที่เราสัมผัสอยู่ข้างหน้า ณ ขณะนั้น


ขอบคุณแรงสนับสนุนจากครูเจี๊ยบ - สุธีรา จำลองศุภลักษณ์ มอบภาพงามๆ มาให้แปะนะคะ ส่วนภาพมัวๆ สู้เขาไม่ได้ คือฝีมือฉันเอง

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

วิปัสสนาบนหน้าเค้ก


อันเนื่องมาจากหน้า 66 ที่เผยแพร่ลงในเนชั่นสุดสัปดาห์ฉบับล่าสุด ในช่วงการเมืองกำลังร้อนแรงไม่แพ้อากาศ ฉันเลยรับโทรศัพท์ไม่หยุดเลยค่ะ ฉันเล่าให้ผู้เขียนฟังว่ามีความสุข เพลิดเพลิน รื่นรมย์ สงบ สบาย ผ่อนคลายเพียงใด กับการได้ลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ตัวเองชอบ คนเราจะทำอะไรให้ได้ดี โดยแยกเป็นหัวข้อ หรือแยกเป็นศาสตร์แขนงต่างๆ ได้กี่อย่างกันนะ คำตอบที่ได้จากการถามคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย คือ 2 อย่างน่าจะโอเค

ฉันเคยนึกเถียงในใจว่า 3 ก็น่าจะไหวน่า แล้วก็ลองทำดู ทำทั้ง 3 ที่ใจชอบไปพร้อมๆ กัน นั่นคือ
1.การเขียนหนังสือ
2.การทำเค้ก
3.การวาดรูป

ข้อที่ 1 การเขียนหนังสือ ถือเป็นหัวข้อหลักของชีวิต เพราะลุกขึ้นมาทำเป็นอาชีพ สร้างสมประสบการณ์มา 20 กว่าปีแล้ว ชั่วโมงบินที่สะสมแต้มมาเรื่อยในข้อนี้แหละ คือรายได้หลักที่มาหล่อเลี้ยงชีพอันพอเพียงของฉัน
ส่วนข้อ 2 คือการทำเค้ก หัวข้อรองนี้แซงโค้งข้อ 3 เข้าเส้นชัยได้อย่างหลุดลอยเมื่อต้นปีนี้เองค่ะ
ฉันเห็นแม่ทำเค้ก ชอบปรุงอาหารคาวหวานเป็นกิจวัตร รสมือแม่นั้นซึมลึกเป็นรสชาติติดปากลืมกันลำบากจริงๆ จากที่เป็นลูกมือช่วยหยิบนู่นทำนี่ในครัว ฉันก็เลยได้สะสมแต้มประสบการณ์เรื่องการทำเค้กมาเรื่อยอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งพอนึกอยากทำของหวานของชอบกินเอง เน้นวัตถุดิบดีๆ ปรุงสดใหม่กินกันในครอบครัวและกลุ่มเพื่อนฝูง ก็เลยดุ่ยๆ เข้าร้านหนังสือ ซื้อตำรับตำราทำเค้กมาอ่านๆๆๆ พร้อมกับเสิร์ชดูในเน็ต จับโน่นผสมนี่ ด้วยความที่เป็นคนรักการอ่าน และถนัดเขียนหนังสือแนวเฮลธ์ตี้อยู่เป็นทุนเดิม การผ่อนสูตรเค้กหนักนมเนย จึงลดทอนมาเป็นสูตรเฉพาะตัว ลดน้ำตาลหน่อย หนักเนยมากไม่ไหวจะใช้อะไรแทนดีแล้วถ้าเอาผลไม้ตามฤดูกาลมาปรุงปน เนื้อหนังของผลไม้ก็น่าจะให้รสหวานได้พอดีคำ อีสต์มีทเวสต์ น่าจะผสมผสานเข้ากันได้ คิดแล้วลองทำเลยไม่รีรอ ยิ่งได้เปิดซีดีธรรมะคลอขณะปรุงเค้ก โอย...ใจนิ่ง สูตรไม่เพี้ยน สมาธิมา ปัญญาเกิด คิดจะแต่งหน้าเค้กเป็นอะไร คล่องมือคล่องตัวโลดเลยค่ะ จึงเป็นที่มาของ วิปัสสนาบนหน้าเค้ก ไงคะ

ส่วนข้อ 3. คือการวาดรูป ฉันเรียนด้านนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ค่อยได้ฝึกปรือลงมือทำสักเท่าไหร่ เมื่อมาเจออาจารย์ดี ศิษย์นี้มีอาจารย์เกริกบุระ ยมนาค นำทางขึ้นโครงลงหลักปักเสาให้แม่นมั่นขึ้นทุกวัน ศาสตร์การวาดรูปจึงเป็นสิ่งพิเศษในใจที่คอยแต่งแต้มสีสันให้สดใส ระบายสีน้ำไม่ได้พึ่งแต่อารมณ์รื่นรมย์อย่างเดียวนะคะ ต้องมีปัญญาทางโลกที่จะเรียนรู้เส้นสาย แสงเงา สีสัน ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์อย่างมีกฎเกณฑ์ ศิลปะสำหรับฉันมันคือวิทยาศาสตร์ มีเหตุและผลรองรับเส้นสายรวมถึงองค์ประกอบต่างๆ การเรียนรู้ในศาสตร์แห่งศิลป์ โอย...จนแก่ก็มิรู้จะเรียนจบรึเปล่านะคะอาจารย์


ไม่ว่าชีวิตฉันจะผูกติดกับข้อไหนใน 3 ข้อ ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยการฝึกฝน เก็บเกี่ยวประสบการ์ด้วยกันทั้งสิ้น ชีวิตนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรอกค่ะ เค้กสูตรสุขภาพของฉัน เกิดขึ้นจากการเพียรอ่าน เพราะเป็นคนอยากรู้ไงคะ เขาว่ามาร์การีนดี ดีจริงหรือ เค้กที่ใส่สารปรุงแต่งมากเกิน ฉันเมินไม่เอาดีกว่า หันเข้าหาวัตถุดิบดีๆ ที่ไม่ทำร้ายร่างกายมากน่าจะดี
ทำไปทำมาเลยเลื้อยยาวต่อเนื่องไปถึง ร้าน ณ ปรินายก คอฟฟี่เฮ้าส์ ที่เจ้าของร้านเป็นรุ่นเฟรชชี่เพิ่งจะหันมาดำเนินวิถี slow life โดยการเปิดร้านกาแฟของตัวเอง ร้านนี้อยู่ตรงเชิงสะพานผ่านฟ้า อยู่หัวมุมติดๆ กับธนาคารกรุงเทพสาขาสะพานผ่านฟ้าเลยค่ะ ฉันเองเป็นรุ่นพี่ slow life ก็เลยพึงพอใจในการส่งต่อเค้กไปวางขายที่นั่น จะทำเค้กแต่ละที ค่อยออกไปซื้อวัตถุดิบสดใหม่ใกล้ๆ บ้านมาทำ เค้กในร้านใกล้จะหมดค่อยทำต่อ ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ขาย ค่อยๆ ที่ว่าไม่ใช่ลีลาอืดอาดไร้วินัยนะคะ ฉันมีตารางเวลาในการทำงานแต่ละอย่างไว้ชัดเจน ทำแต่ละอย่างให้ลงตัวพอดีกับเวลาที่มี ไม่ยัดเยียด ไม่เคร่งเครียด ไม่รู้ว่าจะรีบร้อน เร่งรัด ไปเพื่ออะไร ก็ฉันโบกมือลาชีวิตเร่งรีบมาตั้งหลายปีดีดักแล้วนี่คะ ปรุงเค้กด้วยความสุขใจ จดจ่อและให้ใจกับมันอย่างลึกซึ้ง แล้วผลลัพธ์ที่ได้มันจะสะท้อนความสุขใจให้คุณเอง
ไม่ต้องสุขล้น เอาแบบพอประมาณ พอดี พอเพียง พอแล้วค่ะสำหรับการเติมสิ่งดีๆ ให้กับชีวิต

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

'ต่าง' แล้วทำไมต้อง 'แตก'

เมื่อเช้าเพื่อนสาวขาประจำโทรมาทักทายเหมือนอย่างเคยก่อนที่เธอจะพุ่งตัวไปทำงาน แล้วง่วนๆๆๆ รักษาคนไข้ที่มาออกันเต็มโรงพยาบาลเหมือนอย่างเคยเช่นกัน

เพื่อนคนนี้...เธอเป็นคุณหมอค่ะ ฉันกับเธออยู่บนโลกใบเดียวกันแท้ๆ แต่กลับมองเห็นโลกในมุมมองที่ต่างกัน เธอมีชีวิตที่มองเห็นเลือดเห็นหนองอยู่เป็นประจำ ส่วนฉันมองเห็นสีต่างเฉดต่างโทนที่ดูสดใสกว่า เธอมองเห็นแก่นแท้ที่เป็นจริงของชีวิต เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงกลายเป็นเรื่องธรรมดา ฉันมองเห็นความรื่นรมย์ที่ปรุงชีวิตให้มีสีสัน เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงกลายเป็นเรื่องที่ทำให้จิตตก หมองหม่น ไม่สดใส

เธอมองว่ารองเท้าราคาเป็นพัน ต้องเต็มด้วยเนื้อหนัง มีหนังหุ้มมิดชิด เดินคล่อง สวมใส่สบาย ฉันมองว่ารองเท้าราคาเป็นพัน ต้องมีดีไซน์โดนใจเป็นที่ตั้ง ลองใส่แล้วเก๋กู๊ดก็ซื้อเลยทันที (พอสวมใส่ไปนานๆ เฮ้อ ! เท้าปูดบวมได้ทุกทีสิน่า) ฉันมองเห็นทุ่งหญ้า ป่าเขา ลำธาร น้ำตก เป็นธรรมชาติที่ทำให้ฉันตะลึงพรึงเพริศ เธอกลับมองเห็นว่าความศิวิไลซ์ จะช่วยเติมพลังให้กับชีวิตได้ เพราะชีวิตที่เป็นอยู่ เห็นแก่นแท้ เห็นความธรรมดา เห็นความเป็นธรรมชาติมามากแล้ว

เราสองคนพูดคุยในเรื่องความต่างของชีวิตได้ทุกวี่วันอย่างสุขใจ ใครว่าคนคู่ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนคู่ คนรักคู่ หรือพี่น้องคู่ หากมีความต่างกันมากๆ แล้วความเป็นคู่จะจบสิ้นลงได้ง่าย ฉันว่าไม่ใช่อย่างงั้นเสมอไปหรอกค่ะ ความต่างมีกันได้ แต่สิ่งสำคัญคือ 'วิสัยทัศน์' ต่างหากที่ต้องมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน เห็นตรงกัน เออออ เยส ใช่เลย ! แบบเดียวกัน ส่วนรายละเอียดที่จะพุ่งตรงไปสู่จุดหมายนั้น จะต่างจะแตกยังไง ฉันว่ามันเป็นสีสันทางความคิด ต่างกันก็ได้คิด แตกกันก็ได้ปรับจิตปรับใจ ลด ละ วางทิฐิ แล้วหันมาจูนคลื่นให้ตรงกันจนเกิดความ 'เข้าใจ' ชีวิตจึงเป็นการเรียนรู้ไม่จบสิ้น เพราะศิลปะในการใช้ชีวิตมีตั้งหลายบทให้ลองปฏิบัติ

คำว่าวิสัยทัศน์ที่เราฟังจนชินจนดูเชยนั้น มันจึงเป็นกุญแจดอกสำคัญของการมีชีวิตที่ไม่แตกแยก และมันก็เป็นตัวการที่ทำให้เราโอนอ่อนผ่อนตาม ยอมอ่อนไม่ยอมหัก และจูนกันจนเจอคำว่า 'เข้าใจ' เมื่อความเข้าใจเกิดขึ้น ความแตกก็ไม่เกิด จะแตกกันไปทำไมคะ เห็นข้อดีของความแตกกันบ้างมั้ย นั่นไง ต้องคิดหาเหตุผลของข้อดีในความแตกกันนานเชียว อย่าเอาความต่างมาเป็นข้ออ้างของความแตก มองที่จุดหมายหลักใหญ่ได้ใจความกันดีกว่า ในรายละเอียดปลีกย่อยจะเป็นอย่างไร ขอให้คุณได้คิดถึงคำว่า 'ศิลปะในการใช้ชีวิต' ดีกว่า หากรู้แต่ทฤษฎีแต่ไม่ฝึกปฏิบัติเสียที จะสอบผ่านได้คะแนนเต็มกันได้ยังไงคะ

จริงมั้ยแม่หมอเพื่อนรัก

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สติ 'รำลึก'


วิธีที่ทำให้ผู้คนฉุกใจคิด ระลึกถึงสติ เห็นพลังความสำคัญของสติ และนำสติมาเจริญตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว มีตั้งหลายอย่าง แต่ที่หลายๆ คนเข้าใจตรงกัน คือภาพของการนั่งสมาธิ นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ตรงมุมสงบในวัดใดวัดหนึ่ง เมื่อความสงบเกิด สมาธิมา สติก็จะตั้งมั่น เป็นสูตรสมการสร้างเสริมสติที่เราต่างคุ้นเคยกันดี

'สติ' ไม่ได้กระจุกตัวอยู่ตามมุมวัด หรือพร้อมที่จะมีพลังแรงกล้าเมื่อเข้าเขตรั้ววัดแค่นั้นหรอกนะคะ มันมีพลัง และตั้งมั่นอยู่ในใจเราได้อย่างเข้มแข็งก็ต่อเมื่อจิตของเราสงบนิ่ง ไม่ปรุงแต่งอารมณ์ให้ฟุ้งไปเรื่อย มีหลายคนที่นานๆ ทีถึงจะเยื้องกรายเข้าวัด แต่สามารถนำทางชีวิตให้ผ่านพ้นอุปสรรคหรือปัญหารายวันไปได้โดยมีธงชัยแห่งความสำเร็จโบกมือหยอยๆ รอทักทายอยู่ข้างหน้า นั่นก็เพราะว่าเขาได้ใช้ปัญญานำร่องเบิกทางก้าวเดินไปถึงจุดหมาย...แล้วปัญญาเกิดจากอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่สูตรสมการที่คล้องทางธรรมดังกล่าวข้างต้น

ฉันเองมีชีวิตที่ใกล้ชิดวัดมาแต่ไหนแต่ไร แรกๆ ที่ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนก็เข้าวัดทำบุญ นั่งพับเพียบพนมมือต่อหน้าองค์พระประธาน พูดจ้ออธิษฐานขอโน่นนี่ท่านไปเรื่อย หารู้ไม่ว่าไร้ผล เพราะกายชิดธรรมจริง แต่ใจนั้นห่างไกลโลด อยู่ในวัดสงบได้สักเดี๋ยว พอออกนอกรั้ววัดได้แป๊บเดียว อ้าว..สติฟุ้งกระเจิงเหมือนเดิมอีกแล้ว จนกระทั่งได้ค่อยๆ เรียนรู้จักการปลด ปลง ละ วางความเป็นตัวกูของกูลง ไม่ปรุงแต่งความคิดให้มากสีสันตามอารมณ์คิดฟุ้ง

เพียรฝึกตนและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมทั้งฝึกการคิดอ่าน คือยังไงก็คิดบวกไว้ก่อน ทำอยู่พักใหญ่ วันนี้จึงได้เข้าใจว่าที่เขาบอกว่า "มีสติอยู่กับตัวจะไปกลัวอะไร" ประโยคนี้ไม่ใช่คำพูดที่ระลึกได้เมื่อกลัวผี หรือกลัวสิ่งที่ชวนกลัวๆ ทั้งหลาย แต่สติอยู่กับตัวจะช่วยทำให้เราเกิดความยั้งคิด คิดรอบ คิดลึก แล้วปัญญาก็จะปิ๊งใส พร้อมที่จะช่วยคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้นได้ โอ้...ของดีมีค่าที่มีอยู่ในตัวเรา ไม่ต้องเสียสตางค์ไปซื้อหาจากไหน ดีอย่างนี้แล้วทำไมเราถึงไม่ปลุก 'สติ' มาใช้งานอยู่บ่อยๆ ล่ะ เรียกให้มาประชิดอยู่คู่ตัว ... อืมมม เอาแบบอยู่ถาวรไปเลยน่าจะเป็นการดี


โอกาสของการได้ออกไปท่องเที่ยวแบบวันเดย์ทริปก็มาถึงอีกครั้ง ทริปนี้จะเรียกว่าเป็นทริปปลุกสติก็ได้นะคะ เพราะก๊วนเพื่อนชี้ชวนว่าจุดหมายคือวัด วัด วัด แล้วก็วัดอีกแล้ว ฉันน่ะชอบเที่ยววัดเป็นทุนเดิม ไปทีไรได้ข้อคิดดีๆ เพิ่มเติมใส่ชีวิตทู้กทีไป ไม่คิดจะอิดออด ชวนไปก็ไปไม่อิดเอื้อน คราวนี้เราเลยขับรถชิวๆ ไปที่วัดม่วง อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ค่ะ ที่นี่นับเป็นตลาดนัดแห่งสติสำหรับฉัน เพราะวัดแห่งนี้มีทั้งความสงบและความสนุก

ที่ว่าสงบเพราะในวิหารแก้วนั้นสงบร่มเย็น ดึงใจให้นิ่งได้นานเชียว ที่ว่าสนุกก็เพราะตรงลานข้างๆ วิหารมีรูปปั้นเทวดาประจำราศีเกิด ประจำวันเกิด รวมทั้งมีรูปปั้นเปรตสูงชะลูด มีแดนนรกให้พ่อแม่ได้จูงลูกหลานมาพร่ำสอน ว่าถ้าลูกก่อกรรมทำชั่วนะลูกนะ ก็จะต้องไปชดใช้กรรมยังแดนนรกที่น่าเกลียดน่ากลัวอย่างที่เห็น

ส่วนที่เป็นไฮไลต์สำหรับวัดม่วง คือองค์พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ ซึ่งมีความสูงถึง 95 เมตร สร้างได้อย่างไรหากไร้ซึ่งความศรัทธา ที่น่าศรัทธาอีกอย่างคือแนวคิดที่มีการจัดสร้างคลังของเก่าโบร่ำโบราณ เก็บสะสมไว้เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้มาศึกษาหาความรู้ วัดแห่งนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างที่เป็นทั้งแหล่งปลุกสติ ปลุกความคิด และปลุกความรู้


ฉันชอบการออกทริปไปนอกเมืองก็เพราะอย่างนี้ ลีลาที่ซื่อๆ แต่งแต้มแบบพื้นถิ่น มันโดดและโดนใจดีค่ะ ดูอย่างของกินขึ้นชื่อของท้องถิ่นนั้นๆ สิคะ ฉันไปติดใจร้านก๋วยจั๊บข้างทางขากลับ เขาตั้งชื่อร้านว่า ก๋วยจั๊บแชมป์สุพรรณ สิ่งที่ติดใจมากกว่ารสชาติ คือรูปแบบการทำมาค้าขายของเขาค่ะ ดูเขาเนิบๆ ทำอย่างชำนาญ 'เนิบทำ' ไม่ได้หมายถึง 'เนิบช้า' นะคะ แต่เห็นวิถีของการทำมาค้าก๋วยจั๊บของเขาแล้ว ดูรื่นรมย์ทั้งคนกินคนขาย ก๋วยจั๊บใสถุงยังมัดปากถุงด้วยเชือกฟางเลย แม่ค้าวัยป้าแต่หน้าใสบอกฉันว่า "ใช้หนังยางรัดไม่เป็น ใช้ฟางรัดแบบเก่าถนัดกว่า" เห็นมั้ยคะว่าวิถีการใช้ชีวิตของคนนอกกรุง นอกจากจะใกล้ชิดกับธรรมชาติแท้ๆ แล้ว ยังดูเป็นธรรมชาติอีกด้วย
เพราะอย่างนี้ละมัง พวกเราถึงได้ชอบหนีกรุงพุ่งตัวออกนอกเมืองอยู่เรื่อยเชียว

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

slow cake





การดำเนินชีวิตของผู้คนสมัยก่อน มีชีวิตอยู่อย่างพอเพียง เป็นมิตร พึ่งพิง ถ้อยทีถ้อยอาศัยกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาตลอด จนเมื่อวิถีโลกแปรเปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรม สู่สังคมอุตสาหกรรมภายใต้ระบบทุนนิยม "ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป"

ในปี ค.ศ.1986 คาร์โล เพตรีนี นักหนังสือพิมพ์ชาวอิตาเลียนที่ขีดเขียนเรื่องราวในคอลัมน์อาหารและไวน์ ได้ก่อตั้ง Slow Food Movement ขึ้นมา เพื่อต่อสู้กับกระแสฟาสต์ฟู้ดที่เข้ามาสร้างมาตรฐานใหม่ทางด้านอาหาร ซึ่งได้ทำลายคุณค่าดั้งเดิมของอาหารท้องถิ่นไปเกือบจะหมดสิ้น Slow Food จึงหมายความถึงการเพาะปลูกและการผลิตที่เคารพกฎธรรมชาติ เคารพในภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพเอาไว้ การจูนเครื่องให้แช่มช้า ใส่ใจในทุกขั้นตอนของขบวนการทำอาหาร และพิถีพิถันในการคัดสรรวัตถุดิบมาปรุง จึงถือเป็นการนำร่องปรัชญาความแช่มช้า ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่จะช่วยฟื้นฟูชีวิตที่ล้นเกินให้กลับสู่ความสมดุลได้ดังเดิม

เป็นเวลาเกือบห้าปีแล้วที่ฉันจูนชีวิตตัวเองสู่ความเนิบช้า ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ทำอาหารไม่เป็นอย่างฉัน จะเข้าครัวปรุงอาหารกินเองได้เกือบจะทุกมื้อ ที่สำคัญยังลุกขึ้นมาต่อยอดทำเค้กสูตรเบรกนมเนยและน้ำตาล จากที่ทำไว้กินเอง ก็เริ่มนำไปแจกจ่ายคนในครอบครัว แจกให้เพื่อนฝูง และลามไปเป็นงานอดิเรกที่ทำเงินให้ตัวเองได้อีกด้วย ใครจะรู้ว่าวันคืนสมัยก่อนที่เคยเป็นลูกมือให้แม่ ยามที่เข้าครัวทำขนมหรืออบเค้ก มันจะแทรกซึมเป็นกาฝากเกาะหนึบอยู่ในใจ พอเปิดอ้าออกมาก็เจอสิ่งชอบสิ่งนี้ และได้พัฒนาให้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทั้งอ่านข้อมูล เรียนรู้ ฝึกมือ สะสมชั่วโมงบิน จนกระทั่งชีวิตผูกติดกับ Slow Cake มาได้ปีกว่าๆ แล้ว

Slow Cake สูตรฉัน เริ่มตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบที่สดใหม่ ชั่งตวงสูตรที่ลดน้ำตาล มีเนยร่วมด้วยช่วยกันมันอยู่จิ๊ดเดียว ส่วนครีมที่อุดมด้วยไขมันไม่อิ่มตัว นำมาปรุง ปาด ให้น้อยที่สุด จะกินเมื่อไหร่ หรือคิดจะทำไปให้ใครกิน ก็ค่อยลุกมาทำทีละก้อน ทีละลูก เน้นทำเค้กที่มีส่วนผสมของผลไม้ซึ่งมีความหวานแทรกตัวอยู่แล้ว

ขึ้นชื่อว่าเค้ก ยังไงก็ถือเป็นของหวานปากที่มีภัยซ่อนอยู่ เช่นเดียวกับของหวานทุกชนิด หากกินมากเกินไขมันก็ล้นตัว ซึ่งจะว่าไปแล้ว ไม่ว่าจะกินอะไร ก่อนหม่ำควรชั่งใจคิด ถ้ากินไม่เลือก เน้นของทอด ของหมักดอง ของหวาน ของคาวที่อุดมด้วยกะทิ ชีวิตที่ก้าวไปไม่ถึงค่อนวัยก็คงเวียนเข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ

Slow Life เป็นการใช้ชีวิตอย่างรู้จักยั้งคิด
Slow Food ก็เป็นการใส่ใจในการปรุงและกินอย่างรู้จักยับยั้งชั่งใจ
ให้เวลากับการใช้ชีวิตรอบด้าน คิดให้รอบคอบ วิเคราะห์ให้ลึก
ฝึกบ่อยๆ เดี๋ยวคุณก็คุ้นชินกับการยับยั้งชั่งใจและหันมาใช้ชีวิตแบบสโลว์ๆ ได้เอง

เกษตรแฟร์ 2553 (29 มกราคม- 6 กุมภาพันธ์)


Beautiful Mind & Creative Mind ...
การเดินกินลมชมผลิตภัณฑ์ในงานเกษตรแฟร์ นับวันจะเลือนลางลมหนาวที่มาคลอเคลียสัมผัสให้รู้สึกสดชื่นเบิกบาน แต่เสน่ห์ของผู้คนและสีสันของร้านรวงที่มาจำหน่ายสินค้า ยังไงก็ยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้ใครต่อใครพุ่งตรงไปที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แทบจะทุกปี

ฉันชอบไปเดินงานเกษตรแฟร์ เพราะสาเหตุหลากหลายที่เปลี่ยนไปตามวัย แรกๆ ก็ชอบไปช้อปปิ้งเดินซื้อของจนบ่าเอียงไหล่ทรุด หนักเข้าต้องเรียกบริการรถเข็น ไม่รู้บ้าซื้ออะไรนักหนา หลังๆ ซื้อแต่พองาม เอากระเป๋าล้อเลื่อนประจำตัวติดไปด้วย วัยกระดูกเสื่อมแล้ว จะทำไรต้องเกรงใจเขาหน่อย ไม่งั้นมีงอนออกอาการอักเสบ ทำให้เจ็บปวดโอดโอยอยู่บ่อยๆ

แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นสาเหตุหลักให้ฉันไปงานเกษตรแฟร์ทุกครั้ง นั่นก็คือความสดใสน่ารักของสรรพสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นร้านค้านิสิตหน้าใสที่ใจยังใสปิ๊งเปี่ยมพลัง โลกของพวกก็เลยดูสดใส ยังไม่ถูกฉาบด้วยสีสันที่จัดจ้านปลอมปน ไปเห็นทีไรก็รู้สึกสดชื่นตามพวกน้องๆ เหล่านั้นไปด้วย ฉันชอบโลกที่แวดล้อมแบบนี้จัง โลกที่เอื้ออาทร แบ่งปัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

นอกจากนี้ยังมีร้านค้าของบรรดาพ่อค้าแม่ขาย นำต้นไม้ สัตว์เลี้ยง สินเกษตร สินค้าอุปโภคและบริโภคมาวางขายกันเต็มพรึด บางร้านคนรุมตรึมเพราะมีครีเอทีฟมายด์ ชนะเลิศด้านความคิดสร้างสรรค์ เช่น เอาตะแกรงพัดลมมาทำเป็นโมบายตกแต่งต้นไม้ประดับประดา มีของเล่นน้องหมาที่เป็นรูปไก่คอยาวๆ บีบแล้วร้องเสียงหลงเหมือนกำลังถูกเชือดลั่นไปทั่วตลาดนัดติดแอร์ เรียกรอยยิ้มของผู้คนได้เยอะเชียว อีกทั้งนวัตกรรม งานวิจัย โซนที่ถูกใจคุณผู้ชายหลายคน และโซนฝึกอบรมวิชาชีพ สอนทำกิมจิ สังขยา ถั่วเคลือบ ปั้นสิบ โอ๊ย..สารพัดจะสอน ถูกใจคุณๆ ผู้หญิงยิ่งนัก

ไม่ว่าโลกจะร้อนขึ้น น้ำมันจะแพงขึ้น การบ้านการเมืองจะระอุขึ้นเพียงใด
ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป อย่าไปปรุงแต่งอารมณ์ให้ร้อนรนตามสิ่งกระตุ้นภายนอก ชีวิตยังต้องกิน ยังต้องใช้ ... ทั้งคนขาย ทั้งคนซื้อ จะทำอย่างไรให้ซื้อขายกันอย่างพอดีและพอเพียง ชีวิตที่พอดีและพอเพียง จะช่วยให้โลกที่กำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ ใบนี้ ค่อยๆ เย็นลงขึ้นได้นะคะ

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ตลาดเก่าอ่างศิลา old days...old friend

The missing piece
ใครจะคิดว่าเราจะเวียนวกกลับมาเจอกันอีก ทั้งๆ ที่เวลาก็หมุนผ่านไปเรื่อย ย้อนรอยกลับไปนับ อู้หู...เป็นเวลา 20 ปีเชียวนา เหมือน The missing piece ที่หายไป กลับมาเจอกันคราวนี้ ฉันใช้ชีวิตสโลว์ดาวน์แล้ว เธอซึ่งนิ่งเนิบดูสโลว์มาแต่ไหนแต่ไร ก็ยังคงคิดอ่านอย่างคนสุขุม มีเหตุนำ มีผลตาม ตอบโจทย์ไม่มีมั่ว จะผิดกับวันก่อนก็ตรงที่หน้าที่การงานของเธอนั้นแบกภาระล้นเหลือ (แต่ไม่เกินกำลังเธอคนนี้หรอกนะคะ) เธอที่ว่าคือครูเจี๊ยบ... ครูใหญ่แห่งชมรมคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเพื่อผู้สูงวัย (OPPY by Loxley)

ฉันยังจำรอยยิ้มใสๆ ติดจะขี้อายในวันก่อนของเธอได้ วันนี้ยิ้มใสกลายเป็นยิ้มแปล้สะท้อนความจริงใจอย่างออกนอกหน้า คนขี้อายไม่มีอีกแล้ว อย่าให้เธอจับไมค์ยืนอยู่หน้าชั้นเชียว เป็นได้สวมวิญญาณครูผู้ให้ความรู้ได้ตลอดเวลา ถามอะไรเธอออกไปเถอะ เธอลากคำตอบมาคลายใจให้ได้โม้ดดด และก็คลิกคำว่าslow life ได้อย่างง่ายดายไม่ต้องถกกันยาว ดังนั้น The missing piece ชิ้นนี้ เอ๊ย..คนนี้ ก็เลยกลายมาเป็นครูผู้ให้ มาเติมเต็มการสานต่อแนวคิดการใช้ชีวิตเนิบช้าที่เต็มไปด้วยสติ มีวินัย เสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีรอบด้าน โดยการเปิดหน้าเฟซบุ๊คและเว็บบล็อค จนกำเนิดเป็น slow life club ผ่านสื่อออนไลน์ขึ้นมา

ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่พอดี ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ง่ายๆ ธรรมดาและเป็นธรรมชาติ...
ทำไมคนเราถึงได้อยากสัมผัสใกล้ชิดกับธรรมชาติกันนัก ถามไถ่กันไปมาฉันก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า ก็เพราะธรรมชาติทำให้จิตใจเราสงบ ความธรรมดาทำให้ใจเราไม่คิดเคร่งเครียด และความเรียบง่ายก็ทำให้เราทำตัวตามสบายได้โดยมิต้องผ่านการเฟคแต่งแต้มให้สังคมตอบว่าสอบผ่าน

ดูอย่างตลาดเก่า ตลาดโบราณ หรือตลาดน้ำแต่ละแห่งสิคะ ทำไมมันบูมตูมตามได้ไม่หยุดหย่อน เพราะจุดขายเขาคือเสน่ห์งดงามของวันวาน ความจริงใจใสซื่อ ความเป็นธรรมชาติที่เรียบง่าย นี่คือสิ่งอินเทรนด์ที่คนเมืองโหยหา สังคมคนเมืองมันหมุนเร็วพัฒนาไว ต้องคิด ต้องแข่ง ต้องแย่ง ต้องชิง ต้องเร็ว ต้องรีบ ต้องลัด ต้องเร่ง วุ้ย......ต้องอย่างโง้นต้องอย่างงี้ เล่นเอาคนเมืองหลายคนโดนโรคเครียดรุมเร้า เครียดหนักเมื่อไหร่ก็เป็นอันต้องวิ่งเข้าหาธรรมชาติให้ช่วยบำบัด



ชีวิตที่ไม่ฝืน และเป็นอยู่แบบใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด คือชีวิตที่ห่างไกลโรคภัยรุมเร้า
ดูอย่างภาพซื่อๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดเก่าอ่างศิลากว่าร้อยปีแห่งนี้ เขาคิดจะขายกางเกงชาวเลสีสันแป๊ดๆ สุดจะคัลเลอร์ฟูลก็แขวนขายโท่งๆ ประชันหน้ากับครกของดังเมืองอ่างศิลาด้วยใครจะทำไม พืชผักริมรั้วในตะกร้าเปิดหน้าบ้านอ้าซ่าให้คนเลือกซื้อไปปรุงกิน วันนี้ไม่เดินซูเปอร์ฯ ซักวัน พืชผักไม่ซ้ำหน้าเหล่านี้แหละ จะช่วยให้สุขภาพได้สารอาหารที่ไม่จำเจ

ปลาจวดที่เขาพูดทักคนออกแนวติดลบ อ๋อ..หน้าตามันแหลมๆ งอๆ ไร้อารมณ์อย่างนี้นี่เอง กล้วยทอดรองใบตองใส่ถุงกระดาษห่อขายพออิ่ม ข้าวแต๋นเอาไปแช่น้ำแตงโมให้ออกเป็นสีชมพูแล้วลงทอด พอสะเด็ดน้ำมันแล้วราดน้ำเชื่อม ใครไม่ชอบหวานมากบอกคนขายได้เลยค่ะ เขาเต็มใจราดให้ตามใจคนกิน ลูกชุบลูกเบ้อเห้งปั้นเป็นลูกไหน ช่อองุ่น สารพัดผลไม้ คุณลุงคนขายครีเอทปั้นได้งดงามดึงดูดใจคนมายืนออขอซื้อหมดกระบะแต่หัววัน

เดินไปเรื่อยๆ ก็ไปเจ๊อะกับผัดหมี่สีบ้านๆ แม่ค้าตักจ้วงให้แน่นเปรี้ยะเต็มถุงขายราคา 30 บาท อู๊วววว...อิ่มท้องทั้งครอบครัว ห่อหมกห่อละ 10 บาท อย่าคิดว่าเปิดข้างในแล้วจะเจอห่อๆ หมกๆ ซุกไว้จิ๊ดเดียว โทษทีค่ะ ไซส์ปกติเหมือนห่อหมกคนเมือง แล้ว ยังอร่อยไม่แพ้กันอีกด้วยยยย

one day trip ที่อ่างศิลา ถือเป็น slow life in slow city อย่างแท้จริง
พ่อค้าแม่ขายต่างนำสิ่งที่ตัวเองรักและชอบ ถนัดและชำนาญ นำต้นทุนที่ตัวเองมีมาสร้างงานสร้างรายได้ให้กับตัวเอง ไม่ต้องมีการตลาดมาช่วยก่อกระแสให้ดังโครมคราม แต่ของดีที่ออกมาจากใจจริงๆ อย่างที่เป็นอยู่นี้ จะอยู่ได้นาน พูดกันปากต่อปาก นับเป็นการตลาดที่กระเพื่อมแรงโดยแท้

เพราะของแท้แน่จริง ยังไงก็ไม่มีวันล้มหายตายจากกันไปง่ายๆ หรอกค่ะ คุณว่างั้นมั้ย

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

Slow Life...Na Parinayok



มีคนถามฉันบ่อยๆ ว่า
"ถ้าหันมาใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์แล้วจะทำให้ชีวิตต้องเนิบช้า
ปิดหูปิดตา ไม่รับข่าวสาร คิดอ่านตามคนอื่นไม่ทันหรือเปล่า?"


คำว่า Slow Life มิได้หมายถึงการไม่ใส่ใจสังคม แม้บางคนอาจจะหันหลังให้สังคมวุ่นๆ ก็ตาม แต่การเปิดหู เปิดตา เปิดใจ เผชิญหน้ากับสิ่งแวดล้อมรอบข้างก็ยังคงต้องดำเนินอยู่ต่อไป การเผชิญหน้ากับเหตุการณ์รายวันของคนที่เบรกอัตราเร่งของตัวเองให้ช้าลงหน่อย จะทำให้คนๆ นั้น 'ได้คิด'

การ 'ได้คิด' จะทำให้ 'คิดได้'
ไม่มองแบบผ่านๆ หรือทำอะไรแบบฉาบๆ แล้วหยิบฉวยออกมาแสดงตนว่ารู้จริง
ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แง้มแงะให้สมองได้คิดวิเคราะห์... ลองให้เวลา ให้สมองได้กลั่นกรองความคิด เราก็จะมองเห็นทุกอย่างได้รอบด้านชัดเจนขึ้น นี่ต่างหากคือการเบรกชีวิตแบบฟาสต์ไลฟ์ที่คุ้นเคยกับการเร่ง รีบ ลัด เร็ว ด่วน ไปจนถึงด่วนที่สุด ให้เนิบช้าลง

หนังสือ Slow Life ที่ฉันเขียนบอกสูตรความสุขของตัวเอง มันเป็นสูตรเฉพาะตัวของฉัน ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากชีวิตคนทั่วไปนักหรอก เพียงแต่ฉันมีโอกาสที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนอารมณ์ เปลี่ยนพฤติกรรมการกินและความเป็นอยู่ให้มาพบกับความสุขง่ายๆ จากการอยู่ง่ายๆ ใช้จ่ายไม่มาก ซึ่งต้องอาศัยเวลาในการปรับสูตรความสุขของตัวเองอยู่พักใหญ่ แต่หากไม่เริ่ม แล้วจะมีวันนี้ได้ยังไงกัน

สูตรความสุขของฉัน ทำให้ฉันได้รู้จักผู้คนอีกมาก จนกระทั่งชวนกันมาเป็นเพื่อนร่วมก๊วน Slow Life Club คิดเป็นเห็นด้วย ช่วยกันทำให้ชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพ ฉันในวันนี้เลยได้แวะเวียนไปที่ ร้านกาแฟ Na Parinayok อยู่บ่อยๆ ร้านนี้อยู่ตรงสะพานผ่านฟ้าพอดิบพอดี ติดกับวัดปรินายก ถ้ามาจากลานพระบรมรูปทรงม้า ขับรถตรงดิ่งไปถึงไฟแดงแยกสะพานผ่านฟ้า ก็ให้เลี้ยวขวา จะเห็นร้านกรุกระจกใส เรียบๆ ง่ายๆ ตั้งอยู่ตรงหัวมุม หรือหากลงจากทางด่วนยมราชเข้าถนนหลานหลวง ก็ต้องไปอ้อมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ข้ามสะพานผ่านฟ้าแล้วเลี้ยวซ้าย ก็จะได้มานั่งรื่นรมย์ในร้านกาแฟอบอุ่นแห่งนี้ได้

ที่ฉันติดใจ ฉันเคยเล่าไปแล้วว่าติดใจน้ำใจคนผู้เป็นเจ้าของค่ะ น้องอู๊ดอายุยังไม่มากมาย แต่เรียนหนัก ทำงานหนัก จนความเครียดถามหา สมาธิไม่มี สติไม่มา ทำอะไรเบลอๆ ลอยๆ โลกช่างไม่สดใสเอาซะเลย แต่โอกาสยังเปิดให้เธอได้ลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนชีวิต เอาต้นทุนที่มีมาสร้างงานใหม่ วางกรอบให้ชีวิตใหม่ เธอจึงมีร้านกาแฟเป็นของตัวเอง ค้นหาฮาวทูชงกาแฟให้อร่อยเอง จากการค้นคว้า เรียนรู้ และหมั่นเพิ่มเติมประสบการณ์เพื่อถางทางชีวิตงานในรูปแบบใหม่ให้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ

คำว่า 'ธุรกิจ' คือการทำมาค้าขายให้ได้กำไรก็จริง แต่สำหรับน้องอู๊ด เธอคิดเหมือนฉัน คือใส่ใจในผลิตภัณฑ์ที่ตัวเองทำ แล้วตั้งราคาขายแบบสมเหตุสมผล พูดถึงกำไรใครๆ ก็อยากได้ แต่เอาแบบไม่มากเกินจะดีกว่า ร้านกาแฟ ณ ปรินายก แห่งนี้ จึงเป็นร้านที่หล่อหลอมใจคนทำและรื่นรมย์ใจคนซื้อใครจะคิดว่าทำเลร้านที่อยู่หัวมุมตรงนี้ และไม่ได้ตกแต่งแบบอินเทรนด์โดนใจอะไรนัก จะมีคนแวะเวียนมาอุดหนุนเธออยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะใจคนขายดึงใจคนซื้อหรอกหรือ

นี่คือตัวอย่างชีวิตสโลว์ที่เปิดรับความสุขใส่ตัวได้อย่างง่ายๆ จากชีวิตที่เคยเร่งร้อน เป็นมนุษย์เงินเดือนค่าตัวไม่ถูก วันนี้กลายเป็นสาวสโลว์ที่ใส่ใจความคิดของตัวเองมากขึ้น แค่เริ่มต้นทำงานรับเงินในราคาไม่แพง เธอก็มองเห็นโลกนี้สดใสขึ้นแล้ว ต่อไปจะเป็นอย่างไร อยู่ที่การปรับแต่งอัตราการเร่งของชีวิตเธอค่ะ จะสุขง่ายหรือสุขยาก อยู่ที่เธอจะทำแต้มบวกให้กับชีวิตได้มากน้อยแค่ไหน

ถ้าคิดได้ คิดดี ก็เป็นศรีแก่ตัว จริงมั้ยคะ

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

ชาเขียว...ที่คัดสรร

การที่เราจะถูกใจคน จะถูกใจร้านดื่มกินชวนนั่ง หรือจะถูกใจเครื่องดื่มสักถ้วย มันมีองค์ประกอบหลายอย่างค่ะ ไม่ใช่แค่คนๆ นี้ดูอบอุ่นเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม หรือร้านๆ นี้ตกแต่งได้เก๋กิ๊บโดนใจ

วันก่อนฉันมีโอกาสไปเยือนร้านกาแฟแห่งหนึ่ง แถวสะพานผ่านฟ้า ติดกับวัดปรินายก และเป็นโอกาสดีที่ได้ทำความรู้จักกับเจ้าของร้าน รู้จักหน้า รู้จักตัว รู้จักใจ อาจจะเป็นเพราะเคมีตรงกันมังคะ บทสนทนาหลากเรื่องจึงลากยาว เลาะลึก ติดหนึบ เหมารวมว่าเธอกับฉันถึงขั้นหนิทหนมกันแล้ว

สิ่งที่ลากเราสองมาผูกพันกัน มีหลายเรื่องค่ะ หนึ่งในนั้นคือเรื่องของชาเขียว เป็นที่รู้กันอยู่ว่าชาเขียวมีประโยชน์หลายสถาน ฉันมักจะชอบจิบช้าๆ กับชาเขียวร้อนๆ ตลอดช่วงเช้าของแต่ละวัน มันช่วยดูดซึมพิษในร่างกายเราได้ดีนักแล ช่วยลดคลอเลสเตอรอล ช่วยเก็บกวาดไขมันเลว และขับไล่ไสส่งให้พิษระบายออกไปจากร่างกาย

ฉันกับน้องอู๊ด-เจ้าของร้านกาแฟที่เพิ่งเปิด คุยกันเรื่องชาเขียว เพราะฉันกำลังเห่อกับการทำเค้กชาเขียว ฉันเองคัดสรรชาเขียวอยู่นาน จนไปได้ชาเขียวผงละเอียดจากไร่ปลูกชาในจังหวัดเชียงราย เขาบอกว่าเป็นชาออร์กานิกซะด้วย การเอาผงชารสดี ผลิตอย่างมีคุณภาพ มาเป็นวัตถุดิบในการทำเค้ก แล้วขายในราคาไม่แพงนัก ประมาณว่าฉันกินได้โล่งใจ เธอก็ต้องกินได้อย่างโล่งใจด้วย่ ดีกับสุขภาพฉันและเธอ ฉันทำแล้วสุข เธอกินแล้วสุขตาม แค่นี้พอ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ความสุขเกิดขึ้นแล้ว

เช่นเดียวกันค่ะ น้องอู๊ดที่ยืนง่วนปรุงชากาแฟอยู่ที่ร้าน เธอก็มีความคิดเช่นเดียวกับฉัน ฉันเห็นเธอคัดสรรวัตถุดิบแต่ละอย่างมาปรุงให้ลูกค้าดื่ม แล้วแหงนหน้ามองกระดานที่เธอเขียนตัวเลขราคาขายกำกับไว้ 30-40 และ 40 กว่าๆ ราคาไม่ถึงครึ่งร้อย แต่ว่า...ชาเขียวที่เธอนำมาชงร้อนนั้น วัตถุดิบคุณภาพ ไม่แต่งกลิ่น ไม่แต่งสี ไม่เติมความลำบากให้กับสุขภาพ แล้วเธอก็หยิบชาเขียวเกรดต่างๆ มาชงให้ดู กลิ่นนั้น สีนี้ รสชาติเป็นอย่างไร ของดี ของถูก วัดกันที่คุณภาพ

สุดท้ายแล้ว การคัดสรรชาเขียวมาปรุงให้ลูกค้าดื่ม ตัวตั้งสำหรับเธออยู่ที่ไหน ??
เธอบอกว่าอยู่ที่ความสุขใจของคนปรุงและคนดื่ม คนปรุงใช้ของดีหยิบยื่นให้คนดื่ม ขายของให้ลูกค้าในราคามิตรภาพ ดังนั้นมิตรภาพจึงเกิดขึ้นได้ในร้านกาแฟของเธอ

น้องอู๊ดในวันนี้เธอหันมาใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ ไม่ร้อนรนเหมือนการใช้ชีวิตฟาสต์ไลฟ์ในวันก่อน โดยการลุกมาทำงาน เปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเอง ช่วยกันคนละไม้ละมือกับเพื่อนที่มีแนวคิดเรียบง่ายเหมือนๆ กัน ก้าวแรกเพิ่งจะเริ่ม แต่ฉันก็ประทับใจแล้วค่ะ
นี่แค่เริ่มเรื่องชาเขียว ก็ลากยากกลายเป็น slow drink ถ้วยคุณภาพ ที่สะท้อนใจคนปรุง เป็นห่วงเป็นใยคนกิน ยังมีอีกหลายเรื่องค่ะ ที่น้องอู๊ดคนนี้สะท้อนแรงบันดาลใจให้กับฉัน ฉันคงเทียวไปเทียวมาที่ร้านนี้อีกบ่อยๆ

แล้วจะมาเล่าเรื่องดีๆ ส่งต่อแรงบันดาลใจให้อีกนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

ดอกไม้เมื่อยังสวย



สวยที่สุดของดอกไม้ คือตอนที่มันกำลังชูช่อสะพรั่งบานอยู่ใช่มั้ยคะจ้องดูอยู่ได้นานไม่รู้เบื่อ เพราะมันสะท้อนภาพความสวยงาม
ความสดชื่น เหมือนได้ดูงานศิลปะ พลังของความงามของดอกไม้จึงช่วยส่งต่อให้คนที่ได้สัมผัส ฟื้นคืนมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้

หันกลับมาดูตัวตนของเราบ้าง ความสดชื่น สดใส มิได้หยุดอยู่แค่วัยยังเอ๊าะนะคะ วัยที่บอกผ่านความเอ๊าะไปนาน ก็ยังประคองความสดชื่นสดใสให้อยู่คู่กับตัวเราได้ ขึ้นอยู่กับจิตใจภายในของเราต่างหาก อยู่ที่ว่าเราจะจัดระเบียบจิตใจของตัวเราเองให้สมดุลได้อย่างไร

ทำอย่างไรจึงไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ ที่ผันแปรรวดเร็ว วิ่งซนเป็นลิง ไม่เคยหยุดนิ่ง สิ่งที่จะควบคุมอารมณ์ของเราได้ คือใจที่ไม่อ่อนยวบ คือใจที่มีพลัง มีความเข้มแข็ง อารมณ์จะปรู๊ดปร๊าดไปทางไหน ก็ปลุกใจให้มีสติ ควบคุมอารมณ์ไว้ได้ทัน หากทำบ่อยๆ เดี๋ยวใจก็ตั้งมั่น แข็งแกร่งได้เอง


เมื่อสติอยู่กับตัว จะลงมือทำอะไร ทีนี้ก็ไม่ปรู๊ดปร๊าดแล้วละค่ะ อัตราเร่งถูกลดทอนลง ให้เวลากับสิ่งที่เราคิดอ่านหรือจะลงมือกระทำมากขึ้น สติมา ความตั้งใจเกิด แสงสว่างแห่งปัญญาก็วิบวับนำทางสว่างให้กับเราได้เมื่อปัญญาช่วยคลายปัญหาได้ ความไม่เคร่งเครียดก็ไม่เกาะกินตัว แล้วใจจะเหลืออะไร ...


ตอบได้เลยว่า ก็จะเหลือพื้นที่ให้ความสุขสงบมานอนเล่นไงคะ เมื่อความสดชื่นบรรทุกไว้เต็มใจ ความสดใสก็ตามมา

ไม่ว่าจะวัยไหน ดอกไม้ก็ยังบานสะพรั่งสะท้อนความสวยอยู่ได้เสมอ

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

ช้าๆ ทำให้เกิด "สติงามๆ"

Slow Life โดย "ปวิตรา เกษมเนตร"

... กายเรา ใจเรา ที่ประกอบร่างเป็นตัวตน ต้องมีสติประกบอยู่ตลอดเวลา จึงจะคิดอ่านทำการใดได้อย่างงามๆ การลดสปีดตัวเองให้ช้าลงจะทำให้สมาธิค่อยๆ ปรากฏ และจากนั้นสติก็จะโผล่ตัวมาร่วมแจมด้วย

เมื่อก่อนตอนที่ยังใช้ชีวิตสปีดเร็ว วันหนึ่งต้องรีบร้อนทำงานให้เสร็จทันตามกำหนดเวลาทุกอย่างเร็วรี่ไปหมด เดินเร็วกินเร็ว หายใจเร็ว คิดเร็ว พูดเร็ว บางที่คิดปรู๊ดปร๊าดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แต่วาจาที่เอ่ยกลับตามไม่ทันความคิด ทำให้กลายเป็นคนสื่อสารไม่รู้เรื่อง ชอบขับรถหลงทางเพราะมัวแต่เอาใจคิดอย่างอื่นไปด้วย ฉันอ่านขาดตัวเองในประเด็นนี้ได้ก็ตอนมาใช้ชีวิตช้าๆ ที่แสนจะแช่มชื่นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และเริ่มมองเห็นว่า การใช้ชีวิตสปีดช้าก็สามารถไปถึงที่หมายได้ทันการเหมือนกัน สติมาปัญญาเกิด ชีวิตที่ดำเนินผ่านพ้นไปในรายวันของเรา จะฝ่าฝันดงอุปสรรคไปได้ก็ด้วยปัญญาซึ่งต้องพึ่งพาสติที่ตั้งมั่น

ชีวิตในวันนี้ของฉันจึงเรียกร้องหา "สติ" อยู่ตลอดเวลา


  • สติทำให้ฉันสื่อสารได้ใจความในประโยคสั้นๆ ไม่ต้องร่ายยาวชักแม่น้ำทั้งห้าเหมือนเมื่อก่อน

  • สติทำให้ฉันขับรถไม่หลงทิศ ไปถึงที่หมายถูกทาง เพราะไม่อาศัยสัญชาตญาณพาไป แต่ใช้สมองนำทางถึงจุดหมาย ไร้ซึ่งอุบัติเหตุเฉี่ยวชน ไร้ซึ่งความหงุดหงิด

  • สติทำให้ฉันยั้งใจ นับหนึ่งถึงสิบเลยไปถึงหลักร้อยก็ได้ โดยไม่ออกอาการวี้ดว้ายปรี๊ดแตกกับปัญหาที่โถมใส่

  • สติทำให้ฉันได้คิด เมื่อคิดได้ก็มองโลกในแง่บวกมากขึ้น

  • สติทำให้ฉันกลับลำมาใช้ชีวิตช้าๆ งามๆ แทนที่ชีวิตด่วน ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ

  • สติทำให้ฉันมีความสุขกับชีวิตที่รู้จักพอ


... สติมา ปัญญาเกิด