วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ตลาดเก่าอ่างศิลา old days...old friend

The missing piece
ใครจะคิดว่าเราจะเวียนวกกลับมาเจอกันอีก ทั้งๆ ที่เวลาก็หมุนผ่านไปเรื่อย ย้อนรอยกลับไปนับ อู้หู...เป็นเวลา 20 ปีเชียวนา เหมือน The missing piece ที่หายไป กลับมาเจอกันคราวนี้ ฉันใช้ชีวิตสโลว์ดาวน์แล้ว เธอซึ่งนิ่งเนิบดูสโลว์มาแต่ไหนแต่ไร ก็ยังคงคิดอ่านอย่างคนสุขุม มีเหตุนำ มีผลตาม ตอบโจทย์ไม่มีมั่ว จะผิดกับวันก่อนก็ตรงที่หน้าที่การงานของเธอนั้นแบกภาระล้นเหลือ (แต่ไม่เกินกำลังเธอคนนี้หรอกนะคะ) เธอที่ว่าคือครูเจี๊ยบ... ครูใหญ่แห่งชมรมคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเพื่อผู้สูงวัย (OPPY by Loxley)

ฉันยังจำรอยยิ้มใสๆ ติดจะขี้อายในวันก่อนของเธอได้ วันนี้ยิ้มใสกลายเป็นยิ้มแปล้สะท้อนความจริงใจอย่างออกนอกหน้า คนขี้อายไม่มีอีกแล้ว อย่าให้เธอจับไมค์ยืนอยู่หน้าชั้นเชียว เป็นได้สวมวิญญาณครูผู้ให้ความรู้ได้ตลอดเวลา ถามอะไรเธอออกไปเถอะ เธอลากคำตอบมาคลายใจให้ได้โม้ดดด และก็คลิกคำว่าslow life ได้อย่างง่ายดายไม่ต้องถกกันยาว ดังนั้น The missing piece ชิ้นนี้ เอ๊ย..คนนี้ ก็เลยกลายมาเป็นครูผู้ให้ มาเติมเต็มการสานต่อแนวคิดการใช้ชีวิตเนิบช้าที่เต็มไปด้วยสติ มีวินัย เสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีรอบด้าน โดยการเปิดหน้าเฟซบุ๊คและเว็บบล็อค จนกำเนิดเป็น slow life club ผ่านสื่อออนไลน์ขึ้นมา

ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่พอดี ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ง่ายๆ ธรรมดาและเป็นธรรมชาติ...
ทำไมคนเราถึงได้อยากสัมผัสใกล้ชิดกับธรรมชาติกันนัก ถามไถ่กันไปมาฉันก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า ก็เพราะธรรมชาติทำให้จิตใจเราสงบ ความธรรมดาทำให้ใจเราไม่คิดเคร่งเครียด และความเรียบง่ายก็ทำให้เราทำตัวตามสบายได้โดยมิต้องผ่านการเฟคแต่งแต้มให้สังคมตอบว่าสอบผ่าน

ดูอย่างตลาดเก่า ตลาดโบราณ หรือตลาดน้ำแต่ละแห่งสิคะ ทำไมมันบูมตูมตามได้ไม่หยุดหย่อน เพราะจุดขายเขาคือเสน่ห์งดงามของวันวาน ความจริงใจใสซื่อ ความเป็นธรรมชาติที่เรียบง่าย นี่คือสิ่งอินเทรนด์ที่คนเมืองโหยหา สังคมคนเมืองมันหมุนเร็วพัฒนาไว ต้องคิด ต้องแข่ง ต้องแย่ง ต้องชิง ต้องเร็ว ต้องรีบ ต้องลัด ต้องเร่ง วุ้ย......ต้องอย่างโง้นต้องอย่างงี้ เล่นเอาคนเมืองหลายคนโดนโรคเครียดรุมเร้า เครียดหนักเมื่อไหร่ก็เป็นอันต้องวิ่งเข้าหาธรรมชาติให้ช่วยบำบัด



ชีวิตที่ไม่ฝืน และเป็นอยู่แบบใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด คือชีวิตที่ห่างไกลโรคภัยรุมเร้า
ดูอย่างภาพซื่อๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดเก่าอ่างศิลากว่าร้อยปีแห่งนี้ เขาคิดจะขายกางเกงชาวเลสีสันแป๊ดๆ สุดจะคัลเลอร์ฟูลก็แขวนขายโท่งๆ ประชันหน้ากับครกของดังเมืองอ่างศิลาด้วยใครจะทำไม พืชผักริมรั้วในตะกร้าเปิดหน้าบ้านอ้าซ่าให้คนเลือกซื้อไปปรุงกิน วันนี้ไม่เดินซูเปอร์ฯ ซักวัน พืชผักไม่ซ้ำหน้าเหล่านี้แหละ จะช่วยให้สุขภาพได้สารอาหารที่ไม่จำเจ

ปลาจวดที่เขาพูดทักคนออกแนวติดลบ อ๋อ..หน้าตามันแหลมๆ งอๆ ไร้อารมณ์อย่างนี้นี่เอง กล้วยทอดรองใบตองใส่ถุงกระดาษห่อขายพออิ่ม ข้าวแต๋นเอาไปแช่น้ำแตงโมให้ออกเป็นสีชมพูแล้วลงทอด พอสะเด็ดน้ำมันแล้วราดน้ำเชื่อม ใครไม่ชอบหวานมากบอกคนขายได้เลยค่ะ เขาเต็มใจราดให้ตามใจคนกิน ลูกชุบลูกเบ้อเห้งปั้นเป็นลูกไหน ช่อองุ่น สารพัดผลไม้ คุณลุงคนขายครีเอทปั้นได้งดงามดึงดูดใจคนมายืนออขอซื้อหมดกระบะแต่หัววัน

เดินไปเรื่อยๆ ก็ไปเจ๊อะกับผัดหมี่สีบ้านๆ แม่ค้าตักจ้วงให้แน่นเปรี้ยะเต็มถุงขายราคา 30 บาท อู๊วววว...อิ่มท้องทั้งครอบครัว ห่อหมกห่อละ 10 บาท อย่าคิดว่าเปิดข้างในแล้วจะเจอห่อๆ หมกๆ ซุกไว้จิ๊ดเดียว โทษทีค่ะ ไซส์ปกติเหมือนห่อหมกคนเมือง แล้ว ยังอร่อยไม่แพ้กันอีกด้วยยยย

one day trip ที่อ่างศิลา ถือเป็น slow life in slow city อย่างแท้จริง
พ่อค้าแม่ขายต่างนำสิ่งที่ตัวเองรักและชอบ ถนัดและชำนาญ นำต้นทุนที่ตัวเองมีมาสร้างงานสร้างรายได้ให้กับตัวเอง ไม่ต้องมีการตลาดมาช่วยก่อกระแสให้ดังโครมคราม แต่ของดีที่ออกมาจากใจจริงๆ อย่างที่เป็นอยู่นี้ จะอยู่ได้นาน พูดกันปากต่อปาก นับเป็นการตลาดที่กระเพื่อมแรงโดยแท้

เพราะของแท้แน่จริง ยังไงก็ไม่มีวันล้มหายตายจากกันไปง่ายๆ หรอกค่ะ คุณว่างั้นมั้ย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น