
เพื่อนคนนี้...เธอเป็นคุณหมอค่ะ ฉันกับเธออยู่บนโลกใบเดียวกันแท้ๆ แต่กลับมองเห็นโลกในมุมมองที่ต่างกัน เธอมีชีวิตที่มองเห็นเลือดเห็นหนองอยู่เป็นประจำ ส่วนฉันมองเห็นสีต่างเฉดต่างโทนที่ดูสดใสกว่า เธอมองเห็นแก่นแท้ที่เป็นจริงของชีวิต เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงกลายเป็นเรื่องธรรมดา ฉันมองเห็นความรื่นรมย์ที่ปรุงชีวิตให้มีสีสัน เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงกลายเป็นเรื่องที่ทำให้จิตตก หมองหม่น ไม่สดใส
เธอมองว่ารองเท้าราคาเป็นพัน ต้องเต็มด้วยเนื้อหนัง มีหนังหุ้มมิดชิด เดินคล่อง สวมใส่สบาย ฉันมองว่ารองเท้าราคาเป็นพัน ต้องมีดีไซน์โดนใจเป็นที่ตั้ง ลองใส่แล้วเก๋กู๊ดก็ซื้อเลยทันที (พอสวมใส่ไปนานๆ เฮ้อ ! เท้าปูดบวมได้ทุกทีสิน่า) ฉันมองเห็นทุ่งหญ้า ป่าเขา ลำธาร น้ำตก เป็นธรรมชาติที่ทำให้ฉันตะลึงพรึงเพริศ เธอกลับมองเห็นว่าความศิวิไลซ์ จะช่วยเติมพลังให้กับชีวิตได้ เพราะชีวิตที่เป็นอยู่ เห็นแก่นแท้ เห็นความธรรมดา เห็นความเป็นธรรมชาติมามากแล้ว
เราสองคนพูดคุยในเรื่องความต่างของชีวิตได้ทุกวี่วันอย่างสุขใจ ใครว่าคนคู่ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนคู่ คนรักคู่ หรือพี่น้องคู่ หากมีความต่างกันมากๆ แล้วความเป็นคู่จะจบสิ้นลงได้ง่าย ฉันว่าไม่ใช่อย่างงั้นเสมอไปหรอกค่ะ ความต่างมีกันได้ แต่สิ่งสำคัญคือ 'วิสัยทัศน์' ต่างหากที่ต้องมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน เห็นตรงกัน เออออ เยส ใช่เลย ! แบบเดียวกัน ส่วนรายละเอียดที่จะพุ่งตรงไปสู่จุดหมายนั้น จะต่างจะแตกยังไง ฉันว่ามันเป็นสีสันทางความคิด ต่างกันก็ได้คิด แตกกันก็ได้ปรับจิตปรับใจ ลด ละ วางทิฐิ แล้วหันมาจูนคลื่นให้ตรงกันจนเกิดความ 'เข้าใจ' ชีวิตจึงเป็นการเรียนรู้ไม่จบสิ้น เพราะศิลปะในการใช้ชีวิตมีตั้งหลายบทให้ลองปฏิบัติ
คำว่าวิสัยทัศน์ที่เราฟังจนชินจนดูเชยนั้น มันจึงเป็นกุญแจดอกสำคัญของการมีชีวิตที่ไม่แตกแยก และมันก็เป็นตัวการที่ทำให้เราโอนอ่อนผ่อนตาม ยอมอ่อนไม่ยอมหัก และจูนกันจนเจอคำว่า 'เข้าใจ' เมื่อความเข้าใจเกิดขึ้น ความแตกก็ไม่เกิด จะแตกกันไปทำไมคะ เห็นข้อดีของความแตกกันบ้างมั้ย นั่นไง ต้องคิดหาเหตุผลของข้อดีในความแตกกันนานเชียว อย่าเอาความต่างมาเป็นข้ออ้างของความแตก มองที่จุดหมายหลักใหญ่ได้ใจความกันดีกว่า ในรายละเอียดปลีกย่อยจะเป็นอย่างไร ขอให้คุณได้คิดถึงคำว่า 'ศิลปะในการใช้ชีวิต' ดีกว่า หากรู้แต่ทฤษฎีแต่ไม่ฝึกปฏิบัติเสียที จะสอบผ่านได้คะแนนเต็มกันได้ยังไงคะ
จริงมั้ยแม่หมอเพื่อนรัก